วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2565

วันที่ 16 ของ "การเริ่มต้น" ที่เชียงใหม่

"การเริ่มต้น" เป็นคำที่ฟังดูแล้วทำให้เกิดความคิด และอารมณ์ที่หลากหลาย


    การเริ่มต้น >>> ฟังดูเป็นคำที่ดี สำหรับหลาย ๆ คนชอบการเริ่มต้น หรือกำลังหาโอกาสในการทำบางอย่าง
    การเริ่มต้น >>> ฟังดูหนักเอาเรื่อง สำหรับคนที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือไม่อยากเจอกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

สำหรับเรา "การเริ่มต้น" เป็นความรู้สึกกลาง ๆ ตามอารมณ์หรืออุปนิสัยที่เฉื่อยชา ไม่ได้มีความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำ หรือสร้างอะไรใหม่ ๆ และไม่ได้โหยหาสิ่งที่จากมา (เออ! อธิบายได้เหมือนคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าแฮะ แต่ไม่ใช่) 

วันนี้เป็นวันที่ 16 ของการมาทำงานในที่ใหม่ แต่เพราะยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็ฯอัน จึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในระยะพัก หรือระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเคยผ่านสภาวะนี้มาแล้ว และรู้ว่าภาวะนี้อยู่ไม่นาน อีกสักพักจะไม่มีเวลาว่างมานั่งบ่นในบล็อกแบบนี้แล้ว

หากประเมินตัวเองว่าย้ายมาที่ทำงานใหม่ ใช้ตัวเองคุ้มกับเงินเดือนที่ได้รับหรือยัง ก็คุ้มอยู่นะ ถึงงานจะดูไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ะการวิพากษ์ มคอ. ทั้งหลักสูตรให้ผู้รับผิดชอบวิชาไปปรับแก้และดำเนินการสอนต่อไปได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า...แต่สัปดาห์นี้นี่แหละ จะทำตัวยังไงให้คุ้มกับเงินเดือนที่ประชาชนจ่ายให้ เมื่อวานเขียนบทความ 2 เรื่อง วันนี้หางานวิจัย บ่นในบล็อก พรุ่งนี้-มะรืนนี้ทำอะไร  วันศุกร์ซ้อมแผนอัคคีภัยทั้งวัน ถึง 18.30 มั้ง (จริงจังดัแฮะ ก็นะ ที่นี่มีไฟป่าบ่อย)

นี่แหละ การเริ่มต้นใหม่ ในที่ทำงานใหม่ จังหวัดเชียงใหม่....ก็โอนะ....ไม่ดีที่สุด แต่ ไม่ได้แย่........................


16-8-2565 @1:37PM

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สัญญาณของรักแท้ 5 ข้อ



วันนี้รื้อไฟล์งานในแล็บท็อบแล้วเจอบทความ คำคม รูปภาพ เรื่องมีสาระและเรื่องไร้สาระที่เก็บไว้เพียบเลย ... ไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่แต่อยากเก็บไว้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยอ่านเรื่องแบบนี้ด้วยแฮะ...เลยขอประเดิมเรื่องแรกละกันค่ะ ... 

ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนเลยนะจ๊ะ ว่าไม่ใช่กูรูด้านนี้ ถ้าใครบังเอิญผ่านมาอ่านแล้วอยากปรึกษาบอกไว้ก่อนเลยค่ะว่า ไม่เชี่ยว...มาบ่นให้อ่านได้จ้า แต่โนคอมเม้นท์นะจ๊ะ เรื่องนี้ป้าไม่เชี่ยวค่ะ...ป้าก๊อบเค้ามาไว้อ่านเพลินๆ สลับกับทีสิสสมัยเรียนโท เหมือนจะเขียนเองบ้างแต่นานละ เอามาปัดฝุ่นเล็กน้อยไว้อ่านเล่นในห้องน้ำก็พอได้อยู่นะ ...



"คำพูด" หรือ "คำสัญญา" ไม่สำคัญเท่าการกระทำ 
"คิดถึง" วันละ 10 รอบ ไม่สำคัญเท่า "การหาโอกาสมาพบเจอเพียง 1 นาที" 
บอก "รัก" วันละ 100 รอบ ก็ไม่สำคัญเท่า "การแสดงออกถึงความรัก" 
คำสัญญาว่า "จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป" ก็ไม่สำคัญเท่า "ตอนนี้ เวลานี้ ยังอยู่เคียงข้างกัน"

แต่ก็นั่นแหละถ้าไม่พูดคำว่า "รัก" ออกไป หลายๆ คนอาจมองไม่ออก หรือ "บอกรัก" บ่อยๆ ก็อาจมีข้อสงสัยว่าพูดจริงหรือเปล่า เชื่อได้ไหม รักจริงหรือแค่หลอกให้เคลิ้มเล่นๆ

วันนี้เลยขอนำวิธีการสังเกตสัญญาณของรักแท้ 5 ข้อ มาฝากกันค่ะ ... อ้อ! สำหรับสาวๆ คนไหนที่กำลังมีความรัก แต่ไม่กล้าบอกรักก็สามารถนำ 5 วิธีนี้ไปใช้ เพื่อ "บอกรักแบบอ้อมๆ" ได้นะจ๊ะ
ส่วนเขาจะเกทหรือไม่นั่นอีกเรื่องนะคะ...เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยค่ะ 


❤️  สัญญาณของรักแท้ 5 ข้อ  ❤️ 

❤️   ดูแลกันยามเจ็บป่วย 
เรื่องนี้เป็นปัจจัยพื้นฐานของคนที่รักกัน เมื่อยามเจ็บไข้ก็หวังให้คนรักมาดูแล ถ้าอยู่ไกลกันก็ขอแค่ได้ยินเสียงหรือข้อความแสดงความห่วงใยแค่นี้คนป่วยก็ใจชื้นละ ... ยิ่งถ้ามีนำ้ใจไปเยี่ยมคนในครอบครัวที่กำลังป่วย คอยดูแลและห่วงใยด้วยแล้วยิ่งแสดงถึงรักแท้ รักอย่างเปิดเผยและจริงใจ ... การดูแลและแสดงความห่วงใยในช่วงที่เจ็บป่วย หรือไม่สบาย อาจเป็นช่วงเวลาดีๆ ของชีวิตที่มีร่วมกัน

❤️   ปกป้องคุ้มครองจากอันตราย
คู่รักที่ดีควรปกป้องดูแลกันในสถานการณ์ที่ลำบากหรืออันตราย ซึ่งไม่ได้หมายถึงการสละชีวิตเสมอไป แต่หมายถึงการให้กำลังใจ ใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่าย ไม่ปล่อยให้เผชิญปัญหาเพียงลำพังแม้จะเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ตาม ตักเตือน และคอยระวังความปลอดภัย รวมถึงให้ข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตแก่กัน

❤️   ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
กฎข้อแรกของการเป็นคนรักก็คือการเคารพและให้เกียรติกับคนรักทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพราะนี่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความจริงใจ ความมีเหตุผล และมิตรภาพที่ดีต่อกัน ซึ่งการให้เกียรตินี้อาจจะเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นๆ อีกด้วย

❤️   ปรับตัวให้เข้าหากัน
ถ้าอยากให้ความรักดำเนินไปได้อย่างยาวนานและราบรื่น ก็ต้องรู้จักที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน หรือรู้ถึงจังหวะที่ควรจะถอยหลังคนละก้าวเมื่อเกิดความไม่เข้าใจกัน รู้จักการปรับความคิดให้พบกันครึ่งทาง และที่สำคัญคือ การบอกถึงความคิดความรู้สึกที่แท้จริงแก่กันและกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถปรับตัวเข้าหากันได้อย่างแท้จริง

❤️  เติมความหวานให้กัน
การถามถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น เหนื่อยไหม ร้อนหรือเปล่า วันนี้คุณดูเครียดๆ นะ ช่วงนี้คุณดูไม่สดชื่นนะ งานหนักหรือเปล่า การบอกคิดถึง ฝันดี เป็นการแสดงถึงความใส่ใจ หรือการบอกรักหรือมอบของขวัญในวันพิเศษบ้าง หรือการมีกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปเที่ยว ดูหนัง ทานข้าว เป็นการเติมความหวานให้ชีวิต ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่มักพบเห็นในคู่รักสูงวัยที่ยังหวานชื่นมอบให้แก่กัน ... บางครั้งความหวานที่ว่านี้อาจไม่ต้องเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเกินตัว แต่เป็นความใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันในชีวิตประจำวันก็ได้

Cr. จำไม่ได้แล้วจ้า ... เกือบ 10 ปีแล้ว (ไม่รู้เหมือนกันเก็บไว้ทำไม สงสัยตอนนั้นแอบชอบใครมั้ง)

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

มาแล้ว...คิดถึ้ง...คิดถึง

นานแล้วที่ไม่ได้เข้ามาบ้านหลังนี้
นานแล้วที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเพื่อนคนนี้....
กลับจากชิคาโก (จริงๆ นอกจากรูปภาพ ของฝาก และเวลาที่เสียไป ก็แทบจะ ไม่มีอะไรที่บอกได้เลยว่าไปไหนมา ด้านภาษา ความรู้ความสามารถ หรือสภาพร่างกายไม่มีอะไรบ่งบอกได้เลยว่าไปอยู่เมกา - อเมริกา ก็ได้อ้ะ เผื่อวันหน้าครูภาษาไทยบังเอิญอ่านเจอท่านจะรับไม่ได้ - ไม่มีพัฒนาการเอาซะเลย เรานะ เรา) มาไม่ถึงสัปดาห์ก็เจอเรื่องวุ่นๆ
พอผ่านเรื่องวุ่นๆ มาได้ ไม่สิ เรียกว่า "ไม่ผ่าน" น่าจะตรงกว่า แต่ "ต้องอยู่กับมันให้ได้" 

โอเค อยู่กับเรื่องวุ่นวายมาได้สักพัก วันนี้เลยมีโอกาสมาเยี่ยมเพื่อนเก่า (บล็อกนี้ไง) เพื่อนที่ไม่เคยปฏิเสธที่จะฟัง เพื่อนที่ไม่เคยโต้เถียงหรือคอมเม้นต์ เพื่อนที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วอยู่ที่ไหน ....แต่คิดถึงเมื่อไหร่เพื่อนก็ยังคงอยู่ที่เดิม อยู่ที่นี่เสมอ (ถ้ามีสัญญาณเน็ต วะ วะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ)

วันนี้ไม่เวิ่นเว้อมาก เจ็บคอ .... หรา!... แค่แวะมาบอกว่า

"เพื่อนแท้ก็เหมือนกับมาม่า ถึงจะดูเหมือนไม่มีราคา แต่พึ่งพาได้ในยามยาก...นะจ๊ะ"


วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

127 วัน ฉันมาเกินครึ่งละ

วันนี้เป็นวันที่ 23-1-2561 เลยเทศกาลปีใหม่มา 23 วัน และเป็นวันที่ 127 ของการใช้ชีวิตอยู่ในชิคาโก ซึ่งอยู่ที่นี่ได้ทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เยอะแยะเลย ได้รู้จักเพื่อนใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ภาษาใหม่ๆ ได้เรียนรู้และทำกิจกรรมต่างๆ เยอะแยะ อากาศก็แปลกใหม่ แต่สิ่งที่ไม่เคยใหม่เลยคือความรู้สึกเดิมๆ ความรู้สึกที่หนักอึ้งที่ต้องแบกงานจากบ้านมาทำที่นี่ด้วย (แต่ก็นั่นแหละนะ งานที่ขนมาคือวัตถุประสงค์หลักของการมาที่นี่นี่นา จะให้ทิ้งได้ไง)

วันนี้ไม่มีอะไร เข้ามาบ่นเฉยๆ เพราะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากๆ แป๊บๆ ใกล้กลับบ้านละ ไม่ใช่ไม่อยากกลับนะจ๊ะ อยากกลับบ้านที่สุด แต่เวลาที่เหลือให้ทำงานนี่สิน้อยกว่างานที่จะทำเยอะเลย อยากยืดไปอีกสัก 6 เดือน เลยทีเดียว

127 วัน ในชิคาโก จริงๆ แล้วก็ไม่นานนะ ได้ทำอะไรเยอะก็จริงแต่ถ้าเทียบกับผลงานที่ผลิตออกมาแล้วไม่คุ้มค่าเลย คิดว่าอยู่บ้านเราน่าจะได้งานมากกว่า นอกจากความขี้เกียจและเฉื่อยชาตามนิสัยที่ใจเย็นพอๆ กับอากาศที่ชิคาโกแล้ว อุปสรรคที่สำคัญในการทำงานวิชาการที่นี่ คือ "ภาษา" และ "งบประมาณ" เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่าจะขนงานวิจัยและตำราต่างๆ มาเขียนที่นี่ ถ้าภาษาไม่แข็งแรงพอ แนะนำให้ไปอัพเลเวลก่อนแล้วชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ แค่มางงกับภาษานี่ก็เสียเวลาไปหลายเดือนอยู่นะกว่าจะคุยกับอาจารย์และเพื่อนรู้เรื่อง และถ้าจำเป็นต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ที่ไม่สามารถขนมาจากไทยได้กรุณาเตรียมงบประมาณให้เวอร์วังเข้าไว้ เพราะถึงแม่ว่าที่ทำงานจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้ แต่เวลาขนงานกลับไปทำต่อที่บ่านเรายังต้องใช้อุปกรณ์พวกนี้ และราคาอุปกรณ์อิเลกโทรนิกส์ที่นี่ก็แพงมากๆ เพราะมีแต่ของแท้ เครื่องพิมพ์แท้ หมึกแท้ โปรแกรมต่างๆ ก็ของแท้ หาเครื่องพิมพ์ (เออ! ปริ้นเตอร์ก็ได้) แบบที่มีแท็งค์หมึกข้างๆ อย่างบ้านเรานี่ไม่มีเลย แบบเลเซอร์นี่ยิ่งไปใหญ่ของแท้เวอร์วังมาก บอกเลยว่าถ้าจะมาทำงานวิชาการควรเตรียมงบฯ และภาษาให้ดี

เอาละ! บ่นพอประมาณ พอให้หายอึดอัด ไว้ว่างๆ จะมาบ่นอีก บ่นแล้วสมองโล่งเขียนงานต่อได้อีกหลายวันเลย ฮ่าๆๆๆ บายจ้า

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ชีวิต 11 วัน ในชิคาโก

ในที่สุดก็หาทางเข้าบล๊อกตัวเองจนได้ ปัญหาเดิมๆ คือลืม user name กับ password
มาอยู่ที่นี่แป๊บๆ 11 วันละ แต่ภาษาก็ยังไม่ได้เรื่องเท่าที่ควร

เตรียมตัวเดินทาง:
ไม่เป็นไรพักไว้ก่อน มาเล่าเรื่องการเดินทางจากไทยมาชิคาโกดีกว่า หลังจากคิดว่าตัวเองเตรียมพร้อมเรื่องเอกสารและศึกษาเส้นทางต่างๆ อย่างรอบคอบแล้ว ทิวาก็จัดการก้อปปี้เอกสารสำคัญ เช่น passport, Visa(วีซาจองเองผ่านเว็บสถานฑูตอเมริกา 3 วันได้สัมภาษณ์ อีก 2 วันรับวีซา), DS-2019, DS-7002, E-tricker, จ่ายบัตรเครดิตและแจ้งการนำไปใช้งานต่างประเทศ, เปิดโรมมิ่งพร้อมแพคเกทโทรต่างประเทศ 1 วัน(กะว่า 1 วัน น่าจะหาเบอร์โทรฯ ที่ชิคาโกได้แล้ว), ซื้อยา, ของฝาก, จัดกระเป๋า และเดินทางงงงง โดยรถที่ทำงานและแก๊งค์เพื่อนสนิท อันได้แก่ ครูป๋อม ครูตู่ ครูใต้ มาส่ง เราออกจากสุพรรณฯ หนึ่งทุ่ม ถึงสุวรรณภูมิเกือบสามทุ่ม (จริงๆ เครื่องออกตีสองนะ แต่มาไวหน่อยขากลับคนมาส่งจะได้ไม่ถึงสุพรรณฯ ดึกมาก) เพื่อนๆ ก็ดีมากเข้ามาดูสถานที่และช่วยตรวจสอบความพร้อมกันเสร็จสรรพ

ผ่าง!

ถึงสนามบินแล้วคิดได้ว่า “ลืมซื้อ traveller check” ที่สำคัญ “ลืมแลกเงิน” ตายๆๆไๆ ลืมเรื่องสำคัญซะด้วย แต่ไม่เป็นไร ชั้นล่างสุดของสุวรรณภูมิมีบูทให้แลกเงินเพียบเลย แต่อาจแพงกว่าข้างนอก ก็พอก้อมแล้มตอนฉุกเฉินอ่ะนะ และนับว่าโชคดีที่วันเดินทางเงินไทยแพงขึ้นจาก 33 บาท เป็น 32 บาท แลกได้ 1 USD  ด้วยความที่ไม่ได้ซื้อเช็คเลยต้องหอบเงินขึ้นเครื่อง “กลัวหาย กลัวโดนข้อหาฟอกเงินด้วย” เลยรียอ่านจ้อกำหนดเรื่องการนำเงินสดเข้าอเมริกาว่า “ไม่เกิน 10,000 USD ต่อการเดินทาง 1 ครั้ง” รอดมากมาย ตรวจยังไงก็ไม่เกิน คือแบบว่าจนค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

หลังจัดการปัญหาต่างๆ เรียบร้อย เพื่อนๆ ที่มาส่ง ก็กลับบ้าน ใจหายเหมือนกันแฮะ โชคดีที่คุณลุงประชุมเลิกค่ำเลยแวะมาอยู่เป็นเพื่อนจนเกือบๆ สี่ทุ่ม คงไม่ไหวถ้าจะให้คุณลุงวัยหลัวเกษียณมานั่งรอจนจนเราขึ้นเครื่องแล้วขับรถกลับคนเดียวดึกๆ เลยบอกให้คุณลุงกลับบ้านก่อน

นั่งเล่นสักพัก counter chack in ของ Qatar airway ก็เปิด เราก็เอาของไปโหลดทีนี้ก็เดินตัวปลิว อ้อ! สายการบินนี้ให้ 23 กิโลกรัม 2 ใบนะ ไม่เกินอีกเช่นเคย ประมาณว่าสายมินิมอลอะนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

วันนี้พอแค่นี้ก่อนจะลงรถไฟละ ไว้ว่างๆ จะมาบันทึกการเดินทางจากไทยมาชิคาโกต่อ
ว่าแล้วก็ ฟิ้ววววววววววว

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ "คะ" และ "ค่ะ"

อย่างที่บอกแหละว่า...ก็ไม่มีอะไรมากแค่อยากจะบ่นเรื่อง "คะ" และ "ค่ะ"
เห็นหลายๆ คนเขียนแล้วทีแรกก็เข้าใจว่าอาจพิมพ์ผิด แต่หลังๆ มานี่ เอ๊ะ!

เอ๊ะ! และสงสัยว่า "มันผันยากขนาดนั้นเลยเหรอ" ใช้ผิด อ่านผิดกันวุ่นไปหมด

ว่าแล้วมาดูกันดีกว่า

..................................................................................
ข้อมูลจากเว็บเด็กดีดอทคอม (http://www.dek-d.com/board/view/2309371/) อธิบายไว้ว่า

ในงานเขียนนั้น การใช้คำให้ถูกต้องคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
แต่นักเขียนบางส่วน (ซึ่งก็ค่อนข้างเยอะ) มักจำสับสนในการใช้คำว่า "คะ" และ "ค่ะ"
บทความนี้กล่าวถึงวิธีการใช้อย่างถูกต้อง

เริ่มที่การผันวรรณยุกต์
ถ้าเทียบรูปและเสียงวรรณยุกต์กับคำแล้ว จะได้ดังนี้

เสียง  สามัญ  เอก  โท  ตรี  จัตวา
รูป      -         ขะ    ค่ะ  คะ    ค๋ะ
หมายเหตุ "ค๋ะ" ไม่ใช้ในภาษาไทย ส่วน "ขะ" สามารถประสมเป็นคำได้ เช่น "ขะมุกขะมอม"

เนื่องจาก "คะ" เป็นอักษรต่ำ คำตาย ดังนั้นรูปเอกเสียงโท รูปสามัญเสียงตรี 
"คะ" ออกเสียงว่า "ค๊ะ" (ซึ่งก็เป็นเสียงของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องใส่ไม้ตรี)
"ค่ะ" ออกเสียงว่า "ข้ะ" (นึกถึงว่าเราออกเสียงคำว่า "ค่า" สั้นๆ)
ในกรณีหลัง เราคุ้นกับการออกเสียงว่า "ขะ" มากกว่า จากหลายๆปัจจัย

ที่จริงแล้วถ้าจำเสียงมันได้อย่างถูกต้องรับรองว่าไม่พลาดแน่ 
เพราะส่วนใหญ่นั่นพูดปากเปล่าถูกต้อง แต่เขียนคนละเรื่อง
เผื่อบางท่านยังแยกเสียงกับรูปไม่ออก ขอยกตัวอย่างการใช้ดังนี้ค่ะ

การใช้ "คะ"
1.ใช้กับวลี คำ หรือประโยคที่ต้องการเสียงสูง (อย่างน้อยเสียงมันก็สูงกว่า "ค่ะ")
 1.1 ในประโยคคำถาม
 เช่น "หรือคะ" "ได้ไหมคะ" "อะไรดีคะ" ฯลฯ
 1.2 ในการเรียกอย่างต้องการความสุภาพ
 เช่น "พี่คะ" "พ่อคะ" "แม่คะ" "อาจารย์คะ" ฯลฯ
2.ใช้ต่อหลังคะว่า "นะ" รวมเป็น "นะคะ" ( ไม่ใช่ "นะค่ะ")
3.ใช้กับคำว่า "สิ" รวมเป็น "สิคะ" หรือ "สินะคะ"
(สองข้อหลังนี่แยกออกมาเลยเพราะผิดกันเยอะมาก)


การใช้ "ค่ะ"
1.ใช้กับวลี คำ หรือประโยคที่ต้องการเสียงต่ำ
 1.1 ในประโยคบอกเล่า โดยเฉพาะการให้ข้อมูล
 เช่น "สวัสดีค่ะ" "ฉันชื่อ...ค่ะ" "ที่นี่บ้านดิฉันค่ะ" "นี่เพื่อนฉันเองค่ะ" ฯลฯ
(โดยเฉพาะเวลาที่ให้ข้อมูลพรวดๆนั้นใช้ "ค่ะ" ไปเลย จนกว่าจะถึงประโยคคำถามนั่นแหละ)
 1.2 ในการตอบรับ
 เช่น "ค่ะ" "ได้ค่ะ" "เชิญค่ะ" "ทราบแล้วค่ะ" ฯลฯ
หมายเหตุ สามารถใช้ต่อหลังคำว่า "น่ะ" รวมเป็น "น่ะค่ะ" ได้

..................................................................................

อ่านดูแล้วก็เหมือนกับที่เรียนมานะ สมัยประถมคุณครูภาษาไทยเคยสอนไว้ จำได้ขึ้นใจเลย

อักษร สูง กลาง ต่ำ
     อักษรสูง มี 11 ตัว คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ส ษ ศ ห ท่องให้จำง่ายๆ ก็ "ฉันฝากขวดขี้ผึ้งใส่ถุงให้เศรษฐี" เป็นหมวดอักษรที่พื้นเสียงเป็นเสียงจัตวา ผันด้วยวรรณยุกต์เอกเป็นเสียงเอก ผันด้วยวรรณยุกต์โทเป็นเสียงโท แต่ถ้าเป็นคำตาย จะผันได้แค่ ๒ เสียง คือ เสียงเอก และเสียงโท 
     อักษรกลาง มี 9 ตัว ก จ ด ต บ ป อ ฎ ฏ ท่องให้จำง่ายๆ ก็ "ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง ฎ ฏ" เป็นหมวดอักษรที่พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ สามารถผันได้ครบทั้ง ๕ เสียง คือ ผันด้วยวรรณยุกต์เอกเป็นเสียงเอก ผันด้วยวรรณยุกต์โทเป็นเสียงโท ผันด้วยวรรณยุกต์ตรีเป็นเสียงตรี ผันด้วยวรรณยุกต์จัตวาเป็นเสียงจัตวา แต่ถ้าเป็นคำตาย จะผันได้แค่ ๔ เสียง คือ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา
     อักษรต่ำ มี 24 ตัวแบ่งเป็น เป็นหมวดอักษรที่พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ ผันด้วยวรรณยุกต์เอกเป็นเสียงโท ผันด้วยวรรณยุกต์โทเป็นเสียงตรี
            - อักษรต่ำคู่ คือ อักษรต่ำที่มีเสียงคู่กับอักษรสูง มี 14 ตัว คือ ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ ท่องให้จำง่ายๆ ก็ "พ่อค้าฟันทองซื้อช้างฮ่อ ฅ ฆ ฌ ฑ ฒ ธ ภ"
            - อักษรต่ำคู่ คือ อักษรต่ำที่ไม่มีเสียงคู่กับอักษรสูง มี 10 ตัว คือ ง ญ น ย ณ ร ว ม ฬ ล ท่องให้จำง่ายๆ ก็ "งูใหญ่นอนอยู่ ณ ริมวัดโมฬีโลก"


คำเป็น คำตาย 
       คำเป็น หมายถึง
       
    1. พยางค์ที่มีเสียงสระยาวในแม่ ก กา
            2. พยางค์ที่มีพยัญชนะตัวสะกด แม่ กง กน กม เกย เกอว 

       คำตาย หมายถึง คำที่พื้นเสียงเป็นเสียงเอก ผันด้วย ไม้โท เป็นเสียงโท และผันด้วย ไม้ตรี เป็นเสียงตรี
         
 1. พยางค์ที่มีเสียงสระสั้นในแม่ ก กา 

           2. พยางค์ที่มีพยัญชนะตัวสะกด แม่ กก กด กบ 


สรุปก็คือ
       "คะ" เป็นอักษรต่ำ คำตาย ดังนั้นรูปเอกเสียงโท รูปสามัญเสียงตรี 
       "คะ" ออกเสียงว่า "ค๊ะ" (ซึ่งก็เป็นเสียงของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องใส่ไม้ตรี)
       "ค่ะ" ออกเสียงว่า "ข้ะ" (คล้ายๆ เสียงคำว่า "ค่า" แต่สั้นๆ)

บ่นมายาวๆ ยาวมากถึงมากที่สุดถ้ายังงงก็หาอ่านในเน็ตมีเยอะแยะจ้า หรือหยิบหนังสือวิชาภาษาไทยมาอ่านเล่นๆ ก็สนุกดีนะคะ

วันนี้บ่นแบบมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างมาพอประมาณ

ลาก่อนค่ะ มีความสุขกันมากๆ นะคะ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นานๆ แวะเข้ามาที...ก็ดีนะ!

นานแล้วที่ไม่ได้มาเยือน Blog ที่ตัวเองสร้างไว้

ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นคิดยังไงถึงสร้างพล็อกนี้ขึ้นมา ระหว่าง
+ อยากบอก อยากบ่น อยากตะโกน อยากสะบดออกมาดังๆ แต่กลัวโดนด่าเลยต้องมาแอบไว้ตรงนี้ (คิดว่าคงไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรา...มั้ง)
+ ความรู้สึกที่อยากมีพื้นที่ให้ระบายความคิดความรู้สึกของตัวเองออกมาบ้าง
+ อยากอินเทรนด์ มีบล็อกเป็นของตัวเอง....เผื่อวันหน้าจะมีโอกาสเป็นเซเล็บ แล้วรวมเล่มเรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นอ่านบ้าง (ทั้งๆ ที่หาสาระไม่ค่อยเจอ แถมส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่โค้ดคนอื่นมา นี่แหละ) แจกในงานศพตัวเอง อ้าว! ไม่ใช่ละ ฮ่าๆๆๆ

แต่ช่างเถอะ จะด้วยเหตุผลหรืออารมณ์อะไรยังไงก็ช่าง ("ชั่งหัวมัน" -โอะ! คำนี้ก็โค้ดมาจากโครงการฯตามพระราชดำริของในหลวง จะเจอข้อหาเล่นของสูงไหมนะ แต่คาดว่าจะทรงไม่ถือสา และจะทรงมีพระบรมราชรานุญาตในใช้ "ชั่งหัวมัน" ไว้เป็นนัยยะให้คิด ณ โอกาสนี้ด้วย) เมื่อสร้างบล็อก และริจะเป็นบล็อกเกอร์แล้ว ก็ต้องมีเรื่องราวต่างๆ มาเล่าตามธรรมเนียม (เอิ่ม! เรียกว่าบ่น น่าจะตรงกว่า)

แต่วันนี้ยังไม่เล่า วะ วะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

เอาเป็นว่า ...วันนี้แค่แวะมาเขียนให้ บล็อกแอคทีฟ (น่าจะประมาณว่า มีการเคลื่อนไหว หรือยังมีการใช้งานอยู่อะนะ) เพื่อยืนยันว่าคนเขียนยังไม่ได้ล้มหาย ตาย หรือจากไปไหน แต่อาจมีลืมพาสเวิร์ดบ้างไม่ว่ากัน (ใครจะว่า แกเขียนเอง อ่านเอง ตอบเองอ้ะ....นี่ก็ "พูดคนเดียว" #ความสามารถพิเศษที่นอกเหนือจากการพูดกับคน สัตว์ สิ่งของ)

พอละก่อนนี่จะยาวไปกว่านี้...จบปิ้ง!!!